สภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ มีมติยับยั้งไม่ให้ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ลาออกจากตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เนื่องจากมองว่าจะส่งผลเสียหายเป็นวงกว้างจากการที่จะถูกฟีฟ่าลงโทษแบน โดยสภากรรมการจะพยายามรั้งให้อย่ครบวระที่จะสิ้นสุด11 ก.พ. 67 ขณะที่ประเด็นการที่ 16 สโมสรไทยลีก 1 จะแยกตั้งบริษัทดูแลสิทธิประโยชน์กันเองนั้น ทางที่ประชุมยังไม่มีข้อสรุปให้ว่าอนุญาตให้แยกหรือไม่ เนื่องจากมีเสียงสะท้อนจากสโมสรสมาชิกถึงความชัดเจนในอีกหลายๆเรื่อง ซึ่งทางสภากรรมการจึงมีมติให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษารายละเอียดต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปหารือพิจารณาอีกในที่ประชุม2-3 ครั้งก่อนตัดสินใจ โดยทางพล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน โฆษกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯแสดงควมเห็นไม่น่าจะทันในฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะเริ่มแข่งขันนี้
การประชุมสภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ครั้งที่ 4/2566 ณ ที่ทำการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ วันที่ 3 ก.ค.66 โดยมี “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประธานนั้น ซึ่งมีวาระสำคัญที่อยู่ในความสนใจของแฟนกีฬาชาวไทยและคนวงการฟุตบอลไทย 2 เรื่อง คือ1.เรื่องอนาคตของนายกสมาคมฯ ที่ตั้งใจลาออกหลังจากโดน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ กล่าวกดดันในที่ประชุมคณะกรรมการโอลิมปิก เกี่ยวกับผลงานและบอกให้ลาออก 2. ประเด็นเรื่อง 16 ทีมไทยลีกที่จะมีการแยกออกมาตั้งบริษัทดูแลสิทธิประโยชน์กันเอง โดยการประชุมไม่ได้อนุญาติให้สื่อมวลชนร่วมรับฟัง เพียงแต่ให้เก็บภาพบรรยากาศประมาณ 5 นาทีเท่านั้นก่อนที่จะมีการออกมาแถลงข่าวการประชุมในภายหลัง
ภายหลังจากการประชุมเสร็จสิ้นทาง พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน โฆษกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้เป็นตัวแทนออกมาแถลงกับสื่อมวลชน โดยได้กล่าวว่า เปิดเผยว่า" ในการประชุมวันนี้มี 2 วาระ คือ ประเด็นแรกเรื่องไทยลีก 1 ที่จะแยกตัวไปบริหารสิทธิประโยชน์ด้วยตัวเอง คล้ายกับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกนั้น ยังไม่ได้ข้อยุติในเรื่องนี้ เพราะสโมสรทั้ง 16 ทีมก็มีเสียงสะท้อนกันออกมาว่ายังขาดความชัดเจนว่า จะให้ใครเป็นเจ้าภาพ, มีบริษัทนิติบุคคลอย่างไร, ศึกษาข้อกฎหมายหรือยัง, ขัดกับกฎระเบียบอะไรบ้างหรือไหม ดังนั้นสภากรรมการจึงมีมติให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษารายละเอียดต่างๆ ซึ่งคาดว่าใช้เวลาไม่นาน เพราะทุกคนรู้ปัญหากันดี เนื่องจากมีรูปแบบต่างประเทศเป็นต้นแบบให้เห็นกันอยู่บ้างแล้ว ถ้าได้ข้อสรุปค่อยมาพิจารณาอีกในที่ประชุม2-3 ครั้งต่อไป"
พล.ต.ท.อำนวย กล่าวต่อว่า" เมื่อยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็ต้องบริหารในรูปแบบเดิมไปก่อน ก่อนจะมีการแยกลีกออกไปแบบชัดเจน ยังมีรายละเอียดอีกเยอะที่ต้องเตรียมการ ซึ่งฤดูกาลนี้อาจจะไม่ทัน( ลีกเปิด 11 ส.ค. 66 ) หรือไม่ทันสมาคมฯ ในยุคสมัยนี้ด้วยซ้ำ"
ส่วนอีกประเด็นเรื่องอนาคตของนายกสมาคมฯ ทางพล.ต.ท.อำนวย กล่าวว่า " เรื่องที่พล.ต.อ.สมยศ มีเจตนาลาออกตามคำสั่งพล.อ.ประวิตร ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่จะทำให้ฟุตบอลไทยโดนแบน และส่งผลกระทบต่อประเทศไทยที่กำลังจะเป็นเจ้าภาพฟีฟ่าครองเกรสในเดือนพฤษภาคมปีหน้า รวมถึงฟุตบอลไทยจะไม่สามารถแข่งขันได้เลยในรายการระดับนานาชาติ ดังนั้นสภากรรมการจึงมีมติเป็นเอกฉันท์สวนความต้องการของนายกฯ ไม่ให้ลาออก เพราะถ้าลาออกจะส่งความเสียหายใหญ่ ต่อให้นายกจะอ้างว่าไม่ได้ทำตามคำสั่งแล้ว แต่ตอนนี้ข่าวมันออกมาชัดเจนจากที่ประชุมคณะกรรมการโอลิมปิคฯ คำพูดมันคืออาวุธ แทรกแซงไม่แทรกแซงก็ไปฟังดู แต่พอพูดนายกลาออกทันที มันแปลว่าเป็นเหตุเช่นนั้นหรือไม่ มีเจตนาอย่างไร ซึ่งทางสภากรรมการจึงยับยั้งไม่ให้ลาออก จะพยายามดันให้ครบวาระให้ได้”ไปหมดตามวาระของตำแหน่งวันที่11 กุมภาพันธ์ปีหน้า”
พล.ต.ท.อำนวย ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า" ตอนนี้เหมือนทางฟีฟ่ากำลังรอดูเชิงอยู่ ในเมื่อการลาออกไม่สำเร็จ ก็เท่ากับไม่มีการแทรกแซง ถ้านายกลาออกแล้วฟีฟ่าจึงจะมาทันที แต่เชื่อว่าเมื่อความผิดไม่สำเร็จ ฟีฟ่าก็จะไม่ลงโทษประเทศไทย"
เมื่อทางผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะมีมาตราการอะไรที่จะป้องกันไม่ให้ฝ่ายการเมืองแทรกแซงได้บ้าง ทาง พล.ต.ท.อำนวย กล่าวว่า " ต้องไปบอกฝ่ายการเมือง อย่ามาแทรกแซงสิ ไม่ใช่ให้สมาคมป้องกัน ผู้มีอำนาจ กระทรวง หรือกกท. ต้องรู้ว่าเราเป็นสมาชิกฟีฟ่า มีหน่วยงานกลางดูแลตามหลักสากล ไม่ใช่ว่าเป็นการเมืองใหญ่แล้วจะมาบังคับบัญชาสมาคมต่างๆได้ เรื่องนี้เกิดก็ดี รัฐบาลต่อไปจะได้รู้ว่าสมาคมฯ ไม่ได้อยู่ภายใต้ท่านเท่านั้น เรายังมีสหพันธ์ที่ดูแลอีก เราต้องทำตามสหพันธ์เช่นกัน เราเป็สมาชิกฟีฟ่าก็ต้องทำภายใต้กฎเขา ต้องเข้าใจกฎของฟีฟ่าด้วย” โฆษกลูกหนังไทยกล่าว