พาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศและโฆษกสมาคมฯ ก็ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า "จากนี้ทีมชาติไทยจะลงแข่งขันเกมฟีฟ่าเดย์ 2 แมตช์ ในเดือนตุลาคมกับ ฮ่องกง และ ตรินิแดด แอนด์ โตเบโก ก่อนจะลงแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 8 นัด”
“หลังจากนั้นเราจะอุ่นเครื่องในบ้าน 1 แมตช์ และที่ยูเออี อีก 1 แมตซ์ เพื่อเตรียมเข้าสู่การแข่งขัน เอเชียน คัพ เท่ากับว่าทีมชาติไทย ชุดใหญ่ จะมีรายการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้น ทำให้ ราเยวัช เข้ามาคุยรายละเอียดเรื่องการเก็บตัวฝึกซ้อม"
"โดยทีมชาติไทย จะเรียกนักเตะเก็บตัวฝึกซ้อมในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ ซึ่งนักเตะที่ถูกเรียกเข้ามาจะไม่มีชื่อนักเตะที่ต้องช่วยสโมสรลงแข่งขันฟุตบอลถ้วยโตโยต้า ลีก คัพ และ ช้าง เอฟเอ คัพ ซึ่งการแข่งขันเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ สามารถส่งรายชื่อลงทะเบียนในเบื้องต้นได้ 50 คน แต่ก่อนเข้าการแข่งขันแมตช์แรก ต้องตัดเหลือ 23 คนสุดท้าย และจะต้องใช้ไปจนจบทัวนาเมนต์ ทำให้การเตรียมเอกสารต่างๆ ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะไม่สามารถเปลี่ยนรายชื่อระหว่างการแข่งขันได้"
"ส่วนนักเตะที่เล่นอยู่ต่างประเทศเราสามารถเรียกตัวกลับมาได้ แต่เขาจะสามารถลงเล่นได้เพียงแค่เกมแรกเท่านั้น ทำให้เราไม่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง ดังนั้นโค้ชจะไม่เรียกทั้ง 4 คนกลับมาร่วมทีม และเปิดโอกาสให้ผู้เล่นคนอื่นมาทดแทนในฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ"
"ทางนายกสมาคมฯ วางเป้าหมายไว้ว่า รายการ ซูซูกิ คัพ เราต้องป้องกันแชมป์ให้ได้ ส่วนรายการ เอเชียน คัพ เราไม่ได้ร่วมแข่งขันมา 12 ปีแล้ว ทำให้เราต้องสร้างความแปลกใหม่ในสิ่งที่เราไม่เคยทำ เราอยู่ร่วมสายกับเจ้าภาพเป็นสิ่งที่ลำบาก แต่เป้าหมายคือผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ให้ได้"
สำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2018 หรือ ซูซูกิคัพ2018 ทีม "ช้างศึก" อยู่สาย บี ร่วมกับ อินโดนีเซีย , ฟิลิปปินส์ , สิงคโปร์ , ติมอร์ เลสเต และจะประเดิมเกมแรกออกไปเยือน ติมอร์ เลสเต ในวันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เวลา 19.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ขณะที่ฟุตบอลเอเชียน คัพ ทีมชาติไทย อยู่ในสาย เอ ที่มีเจ้าภาพ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อินเดีย และบาห์เรน โดยนัดแรกจะพบกับ อินเดีย ในวันที่ 6 มกราคม 2562