ความเคลื่อนไหวของทีมชาติไทยชุดใหญ่ ก่อนลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย หลังจากบุกไปแพ้ ซาอุดิอาระเบีย มา 0-1 ซึ่งในนัดสอง กลุ่ม บี พวกเขาจะเปิด ราชมังคลากีฬาสถาน พบกับ ญี่ปุ่น ในวันที่ 6 ก.ย.นี้ ช่อง 7 สียิงสดให้แฟนบอลได้ชมทั้งประเทศ ในเวลา 19.30 น. ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. ของวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา ณ ชั้น 14 โรงแรม ดิ เอ็มเมอรัลด์ ได้มีการแถลงข่าวความพร้อมของทีมชาติไทย และ ญี่ปุ่น โดยทีมชาติไทย ส่ง "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง มาแถลงข่าว ส่วนญี่ปุ่นมี วาฮิด ฮาลิลฮอดซิซ เฮดโค้ชชาวบอสเนียมา ท่ามกลางสื่อมวลชนทุกสายทั้งไทยและญี่ปุ่นที่ร่วมติดตามถึง 60 กว่าคนเลยทีเดียว
 
         กุนซือทีมชาติไทย เผยว่า "เวลานี้เราพร้อมแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าเกมแรกเราจะแพ้ ซาอุดิอาระเบีย มา 0-1 แต่นัดที่สองในการพบกับ ญี่ปุ่น เราไม่มีช้อยส์อย่างอื่นแล้วนอกจากจะต้องเอาชนะให้ได้สถานเดียว เรายอมรับแบบตามตรงว่า ญี่ปุ่น เป็นเบอร์ 1 ของเอเชียในเวลานี้ มาตรฐานของพวกเขาสูง แม้เราจะเป็นรองทุกทีมในรอบ 12 ทีมสุดท้าย รวมถึงในกลุ่ม บี แต่ผมเชื่อว่านักเตะของเราไม่มีทางกลัว ญี่ปุ่น เป็นอันขาด เพราะเราไม่มีความกดดันอีกต่อไป นอกจากนี้เราจะได้เสียงเชียร์ของแฟนบอล ที่มีข่าวว่าจะมากันเต็สนามราชมังคลากีฬาสถานแน่นอน ทำให้เราต้องการที่จะเล่นต่อหน้าพวกเขา เรียกความศรัทธาให้ยังคงอยู่ในบ้านของเรา ด้วยการเก็บ 3 คะแนนไว้ในถิ่นให้ได้ในการพบกับ ญี่ปุ่น"

  ขาด "ตังค์" ไม่มีปัญหา, รับญี่ปุ่นหาจุดอ่อนยาก  
 

         สื่อมวลชนได้ถาม "ซิโก้" ว่า การขาด สารัช อยู่เย็น ที่โดนแบนมาจากเกมแรก หลังจากรับใบเหลืองสองใบนัดที่แพ้ ซาอุดิอาระเบีย 0-1 จะมีผลหรือไม่ รวมทั้งจุดอ่อนของ ญี่ปุ่น ที่ดูมาเป็นอย่างไร ทางด้านเฮดโค้ชทีมชาติไทยได้ตอบว่า "สารัช ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมากในเกมแรก แม้ว่าเราจะแพ้ ซาอุดิอาระเบีย 0-1 ก็ตาม ซึ่งการขาดเขาไปคงจะไม่ส่งผลกระทบมากเท่าใดนัก เนื่องจากเรามีผู้เล่นที่พร้อมทดแทนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ปกเกล้า อนันต์, ชาริล ชัปปุยส์ และ อดุล หละโสะ ที่เราเรียกเข้ามาเสริม"
   
         "อย่างไรก็ตามจุดอ่อนของญี่ปุ่น เราคงจะหายากเหมือนกัน เพราะเขาเป็นทีมแนวหน้าของเอเชีย ทว่าการที่เราได้เล่นในบ้าน เกมรุกและรับของเราจำเป็นต้องดีมาก อีกทั้งเราต้องการเห็นบรรยากาศของฟุตบอลไทยในสนามราชมังฯ กลับมาดีเยี่ยมอีกครั้ง ทำให้เราต้องการเล่นอย่างเต็มที่ในเกมนี้"
 

  ยันพร้อมทำให้ซามูไรอึดอัดที่สุด
 

         อดีตกองหน้า ราชประชา, ฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์, สิงคโปร์ อาร์มฟอร์ซ และ ฮอง อันห์ ยาลาย ยังได้เผยว่า สำหรับตนแล้วการพาทีมชาติไทย ก้าวมาเล่นในรอบ 12 ทีมสุดท้ายได้ เป็นของขวัญที่นักเตะมอบให้แฟนบอลอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด ทว่าตนยังมองไปถึงกรเล่น 10 นัดในรอบนี้ว่า ต้องพยายามไม่หมดหวังและไม่แพ้ 3-4 นัด มิเช่นนั้นอาจจะหมดโอกาสในการผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย ฉะนั้นเกมกับทีมชาติญี่ปุ่น จึงเป็นนัดที่สำคัญอย่างมากในการชี้วัดอนาคตของทีมไทย รวมทั้งตนยังได้บอกกับลูกทีมแล้วว่า ต้องทำทุกวิถีทางให้ทั้ง 10 นัดของรอบ 12 ทีมสุดท้าย ที่ทีมชาติไทยจะลงเล่น ทำให้คู่แข่งทั้ง 5 ทีมเหนื่อยมากที่สุด และให้รู้ไปเลยว่า การที่คิดจะเอาแต้มจากพวกเรานั้นเป็นเรื่องที่ยากมากเช่นกัน

  ไม่สนเรื่องเก่า 20 ปีก่อน-ยันไทยไม่กลัวแน่
 

         ผู้สื่อข่าวยังสอบถาม "ซิโก้" ว่า ภาพเมื่อเกือบ 20 ปี ในการเอาชนะญี่ปุ่นที่ไทยนั้น จะกลับมาหรือว่าเจ้าตัวได้มีการบุกไปขวัญหรือไม่ เพราะย้อมกลับไปในเกมอุ่นเครื่องเมื่อวันที่ 15 มี.ค.1997 ที่ชนะไป 3-1 จากการยิง 2 ประตูของ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ "ช้างศึก" คนปัจจุบัน ใน น.16, 67 และอีก 1 ลูกจาก ดุสิต เฉลิมแสน น.48  ด้วย
  
         "ผมคงจะไม่ขอพูดถึงอดีต เนื่องจากที่ผ่านมาฟุตบอลเป็นคนละยุคกัน อีกทั้งยังผ่านมานานแล้ว อย่างไรก็ตามผลงานในปัจจุบัน เราทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้เราไม่จำเป็นอีกแล้วที่จะไปกลัว ญี่ปุ่น ในชุดปัจจุบันนี้ เพราะเนได้ชัดว่าเราเคยจัดชุดไม่ฟูลทีมอุ่นเครื่องกับ เกาหลีใต้ แม้ว่าจะแพ้ 0-1 แต่เรายังสู้ได้ดีมาก เนื่องจากทีมชาติไทยในยุคใหม่ ผ่านการเล่นด้วยกันมา 3 ปี ไม่ใช่ 3 วัน หรือ 3 เดือน และทุกคนมีประสบการณ์จาก ซีเกมส์, เอเชียน เกมส์ และ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ซึ่งทั้งหมดเป็นเครื่องพิสูจน์ให้กับนักเตะของะวกเราเป็นอย่างดีมาโดยตลอด" กุนซือทีมชาติไทย เผย

  บอกจุดแข็งไทยคือไม่มีความกดดัน
 

         เมื่อสื่อญี่ปุ่นถาม "ซิโก้" แม่ทัพ "ช้างศึก" ว่าจะรับมือกับทีมชาติของพวกเขาอย่างไรและหวั่นใจหรือไม่ เจ้าตัวตอบทันควันว่า "ผมไม่กลัวเลย เพราะว่าทีมชาติไทย พัฒนาขึ้นมาทีละก้าว ทีละสเต็ป ตอนนี้เราพร้อมแล้ว จุดแข็งของเราก็คือไม่มีความกดดันเลย เพราะว่าเราเป็นทีมน้องใหม่ที่เข้ามาเล่นรอบนี้ ซึ่งแตกต่างจากหลายๆทีมที่เคยผ่านไปฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายมาแล้ว เกมของเราก็จะเล่นให้สนุก เราไม่ได้กดดันเลยที่แพ้เกมแรก มันก็แค่โอกาสที่ลดลงเท่านั้น ในแต่ละเกมถ้าเราพลาดเกิน 3-4 เกมโอกาสที่จะไปฟุตบอลโลกก็ยากขึ้น แต่เราจะพยายามทำเต็มร้อยในทุกๆเกม"

 
  ยันมี 11 ผู้เล่นในใจแล้ว
 

         ในเวลา 15.00 น. กุนซือทีมชาติไทย ได้นำลูกทีมเดินทางมาฝึกซ้อมมื้อสุดท้ายที่ ราชมังคลากีฬาสถาน ก่อนลงซ้อมเวลา 15.45 น. ซึ่งได้ให้สื่อทั้งไทยและญี่ปุ่นเก็บบรรยากาศได้ 15 นาที ตามกฎของฟีฟ่า อย่างไรก็ตามการซ้อมครั้งนี้ของทีมชาติไทย เป็นไปในรูปแบบของการผ่อนคลาย เพื่อเซฟอาการบาดเจ็บและความล้าของผู้เล่น โดยใช้เวลาราว