การประชุมคณะกรรมการพิจารณาจัดสรรเรื่องเงินสนับสนุนทีมชาติไทยหลังผ่านเข้า 12 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย 30 ล้านบาท และ การคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 44 จำนวน 6,750,000 บาท รวมเป็นเงิน 36,750,000 บาท ที่โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ รัชดาฯ เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยมีทาง พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก เลขาธิการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยเป็นประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการฝ่ายบัญชีและกฎหมายของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ รวมถึงตัวแทนจากสโมสรต่างๆ จาก แบงค็อก ยูไนเต็ด, อาร์มี่ ยูไนเต็ด, บีอีซี เทโรศาสน, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, ชลบุรี เอฟซี และบางกอกกล๊าส เอฟซี ขณะที่ทีมชาติไทยส่ง 2 ตัวแทน ณฐกร ฉิมพาลี กับ ใกล้รุ่ง ตรีจักรสังข์ มาร่วมประชุมด้วย
โดยการประชุมใช้เวลาร่วมกว่า 2 ชั่วโมงในการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งมีทั้งการสอบถามการแบ่งเรตของแต่ละสโมสรเพื่อนำมาประมวลความคิดเห็น ขณะที่สองตัวแทนทีมชาติได้แจ้งที่ประชุมทราบว่า เรื่องการแบ่งเงินนั้นได้มีการพูดคุยกับตัวแทนนักเตะโดยเฉพาะ "อุ้ม" ธีราทร บุญมาทัน กัปตันทีม และนักเตะอาวุโส 3-4 ที่เรียกมาทำความตกลงกันแล้วว่า จะแบ่งออกเป็นนักเตะ 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนทีมงานสตาฟฟ์โค้ช 30 เปอร์เซ็นต์
สุดท้ายจากการประชุมหารือก็ได้บทสรุปออกมา 2 ประเด็นเพื่อให้มีการลงมติเลือกคือ 1. แบ่งตามที่ทีมงานสตาฟฟ์โค้ชนักเตะได้ตกลงกันเอาไว้คือ นักเตะ 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนทีมงานสตาฟฟ์โค้ชรวมถึง "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง 30 เปอร์เซ็นต์ 2. แบ่งเป็นนักเตะ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนทีมงานสตาฟฟ์โค้ช 20 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากคณะกรรมการฯ เห็นว่า "ซิโก้" และทีมงานสตาฟฟ์โค้ช มีรายได้จากสมาคมทุกเดือนอยู่แล้ว อีกทั้งจำนวนคนที่แบ่งสรรก็น้อยกว่านักเตะ และจากการลงมติสรุปว่าให้เลือกแบบแรก ทว่าก็เห็นสมควรเป็นมติว่า ในครั้งต่อไปในการมอบเงินอัดฉีดให้กับทีมชาติไทยทุกชุด จะใช้เกณฑ์กำหนดใหม่ตามข้อ 2.
ขณะเดียวกันทางทางคณะกรรมการพิจารณาจัดสรรเรื่องเงินสนับสนุนทีมชาติไทย ของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ยังได้แจ้งอีกว่า ในการจ่ายโบนัสอัดฉีดดังกล่าวนี้ ทางสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จะมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 5 เปอร์เซ็นต์กับทุกคนและจะเป็นแนวปฏิบัติต่อไปกับทุกชุดและทุกครั้งอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่และกฎเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด จึงอยากให้นักฟุตบอลทุกคนรับทราบตรงกัน
ทั้งนี้เมื่อคิดคำนวณจำนวนเงินทั้งหมด 36,750,000 บาท ในการแบ่ง 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนของนักเตะ 23 คนเป็นเงินทั้งหมด 25,724,994 บาท และเมื่อหัก 5 เปอร์เซ็นต์ ณ ที่จ่ายของนักเตะแต่ละคนแล้วก็จะได้เฉลี่ยคนละ 1,062,554.1 บาท จากกรณีที่มีรายชื่อทุกนัดทุกเกมในศึกฟุตบอลโลกและทัวร์นาเมนต์คิงส์ ส่วนนักเตะที่มีรายชื่อในบางเกมของฟุตบอลโลก หรือเพิ่งมีชื่อติดในทัวร์นาเมนต์คิงส์คัพ ก็จะคำนวณตามรายชื่อที่ส่งเข้าร่วมการแข่งขัน ส่วน "ซิโก้" และทีมงานสตาฟฟ์โค้ชจะได้รับรวมทั้งสิ้น 11,025,000 บาท
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวของการแบ่งสัดส่วนเม็ดเงินดังกล่าวนี้ทาง "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือทีมชาติไทยได้เผยว่า ทั้งหมดนี้ก็แล้วแต่มติของคณะกรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ตนเองไม่ขอออกความคิดเห็นในเรื่องนี้ เพราะที่ผ่านมาก็เป็นการพูดคุยทำความตกลงกันของนักเตะและทีมงานสตาฟฟ์โค้ช และที่ผ่านมานักเตะและสตาฟฟ์โค้ชก็พร้อมที่จะทำเพื่อชาติ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยทีมชาติไทยอยู่แล้ว
นอกจากนี้วันเดียวกันทาง "ซิโก้" กุนซือทีมชาติไทยก็ได้ถูกทางบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) คว้าตัวไปเป็นพรีเซนเตอร์ของโครงการ MTL Six Packs ซึ่งเป็นแคมเปญที่ส่งเสริมความแข็งแกร่งของสุขภาพแบบครบวงจร ทั้งกาย ใจ และการเงิน ของทางบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน ) อีกด้วย โดยจะมีการออกเป็นแอพพลิเคชั่น ให้กับแฟนๆ ได้ติดตาม ซึ่งทางกุนซือใหญ่ทีมชาติไทยฝากทุกคนติดตามแอพตัวนี้ด้วยที่จะออกมาเผยแพร่ในเร็วๆ นี้