ตามที่ "เสธ.โต" พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ประธานคณะกรรมการกลางการเลือกตั้ง ได้ออกมาตั้งธงในการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 11 ก.พ. 59 อย่างไรก็ตาม ภายในเดือนธ.ค. นี้ จะมีการเลือก 30 เสียง จากเอไอเอส ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 ใหม่ เนื่องจากต้องใช้ข้อบังคับฉบับใหม่ปี 58 แทนที่ของเก่า
ล่าสุดเมื่อเวลา 11.00 น. ของวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา ณ ห้องวาสนา ชั้น 3 โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน วิมล กาญจนะ ประธานเอไอเอส ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 พร้อมด้วย "บิ๊กโบ้" นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ประธานฝ่ายกฎหมายสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย, "รองต้า" ธีระพงษ์ วัฒนวงษ์ภิญโญ ผู้ช่วยเลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และประธานภาคลีกภูมิภาค ทั้ง 6 โซน ได้ออกมาแถลงข่าว และเผยเอกสารกรณีเลือกตัวแทน 30 เสียง จากลีกภูมิภาค มีการเลือกตั้งที่ถูกต้องตามกฎหมายและข้อบังคับ ท่ามกลางสื่อมวลชนที่เดินทางมาทำข่าวอย่างเนืองแน่น
โดย "บิ๊กโบ้" นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ประธานฝ่ายกฎหมายสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เผยว่า "ปัญหาและอุปสรรคการเลือกตั้งที่ท่านประธานคณะกรรมการกลางฯ ได้สรุปว่าจะมีการเลือกตั้งวันที่ 11 ก.พ. 59 ผมได้มีสิ่งที่จะชี้แจงไปยังกกต., กกท., สมาชิกสโมสร และบรรดาแฟนบอลที่กำลังเฝ้าดูการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่าจะจบลงด้วยกระบวนการใด ซึ่งเราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งรีบในเรื่องนี้ หลังจากที่ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ได้ยืนยันว่าจะมีการเลือก 30 เสียง จาก 6 ภูมิภาคกันใหม่
ซึ่งต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าสรุปจะเลือกใหม่หรือไม่ เบื้องต้นข่าวที่ออกมาอาจจะไม่ครบ แต่มีข้อความที่สรุปได้ประมาณว่า พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ต้องหารือกับทางฟีฟ่า สิ่งที่เห็นว่าควรเลือกใหม่นั้น ฟีฟ่าอนุญาตหรือไม่ แล้วจึงจะส่งให้กกท. อีกครั้งหนึ่ง ผมเองในฐานะประธานฝ่ายกฎหมายสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และดูแลข้อบังคับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะการเลือกตั้ง 30 สโมสร ตัวแทนที่ได้รับฉันทานุมัติจาก 83 สโมสร ที่เป็นผู้แทนในการใช้สิทธิ์ตามข้อบังคับของลีกภูมิภาค และตามข้อบังคับของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย"
บิ๊กโบ้กล่าวเพิ่มเติมต่อว่า "ประเด็นที่ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ บอกว่าต้องเลือกใหม่ เพราะขัดกับข้อกฎหมาย แล้วมีการถามต่อว่าการเลือก 30 สโมสรมาอย่างไร โปร่งใสหรือไม่ เพราะเขาบอกว่าไม่ได้ไปดูด้วยตัวเอง แต่วันนี้ผมจะอธิบายว่า 30 เสียง โดยกฎหมายหรือข้อบังคับตามธรรมนูญที่เราทำไว้สอดคล้องกับฟีฟ่าเป็นผู้กำหนด ถ้าจะเลือกตั้งได้ต้องเลือกตั้งได้ในข้อบังคับมที่กำหนดสิทธิให้กับตัวแทนของลีกภูมิภาคให้มีสิทธิในการเลือกเองทั้ง 30 คน"
"ทางลีกภูมิภาค นำโดย คุณวิมล กาญจนะ ประธานเอไอเอส ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 ได้ไปจัดการเลือกตั้ง ทำตามข้อบังคับ ซึ่งมีท่านประธานทั้ง 6 ภูมิภาค ไปดำเนินการเชิญประชุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการดำเนินการตามข้อบังคับมีการดำเนินการตามกฎหมายและข้อบังคับทุกประการ จะเห็นได้ว่ามีรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุมที่เป็นเจ้าของสโมสรทั้งหมด 6 ภาค รวม 82 สโมสร"
"ในข้อบังคับฉบับใหม่ของลีกภูมิภาค อยู่ในข้อที่ 26 วงเล็บ 3 ว่า เมื่อได้ข้อบังคับมาแล้ว ให้ทางลีกภูมิภาคทั้ง 6 ภูมิภาคไปทำการเลือกตั้งผู้แทนของเขาโซนละ 5 คน รวม 30 คน อยู่ในข้อ 26 วงเล็บ 3 ซึ่งเราจะโต้แย้ง พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ว่าเราดำเนินการตามข้อกฎหมายทุกประการ เมื่อมีข้อบังคับเช่นนี้ทั้ง 6 ภูมิภาค หลังจากนั้นคณะทำงานของลีกภูมิภาคทั้งหมด จะต้องให้ 6 ภูมิภาค ดำเนินการเลือกตัวแทนของภูมิภาค เพื่อให้ไปใช้สิทธิ์ในการประชุมใหญ่วันที่ 17 ก.ย. ทำให้เห็นได้ชัดว่าทั้ง 83 สโมสร จากดิวิชั่น 2 ไปดำเนินการร่วมมือตามข้อบังคับของลีกภูมิภาคและข้อบังคับของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยทุกประการ"
ประธานฝ่ายกฎหมายสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ชี้แจงเพิ่มเติมว่า "จะเห็นได้ว่าการประชุมกับดิวิชั่น 2 นั้น มีการลงนามตัวแทนจากสโมสรทั้ง 6 ภูมิภาค แต่ประเด็นสำคัญในการเชิญประชุมครั้งที่สอง มีการเลือกตัวแทน 30 คน จาก 6 ภาค มีวาระที่ 4 ว่าเลือกแล้วไปทำอะไรบ้าง ซึ่งมีเขียนไว้ว่าให้ไปเข้าประชุมใหญ่ในวันที่ 17 ก.ย. 2558 และเข้าร่วมประชุมใหญ่ทำการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และสภากรรมการ วันที่ 18 ต.ค. 2558 เห็นได้ว่าการเรียกพวกเขาเข้ามานั้น มาโดยข้อบังคับมีกฎหมายรับรอง มีกระบวนการเลือกตั้งที่ชัดเจน ไม่ได้มีคนไหนที่ไม่ได้มีคนที่ไม่ใช่เป็นเจ้าของสโมสรกระทำโดยพลการ แต่ทำภายใต้กรอบข้อบังคับทั้งหมด"
"และเราได้มอบเอกสารต่างๆ ให้กับกกท. และ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ เป็นที่เรียบร้อย เรายืนยันว่าสิทธิ์ของเรามาตามข้อบังคับ สอดคล้องกับธรรมนูญฟีฟ่าทุกประการ ส่วนในเรื่องที่ข้อบังคับปี 56 หมดไปได้อย่างไร และต้องใช้ของปี 58 ในการจัดตั้ง 30 เสียง จากดิวิชั่น 2 ขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร จะเห็นได้ว่าบทเฉพาะกาลข้อบังคับปี 2556 ในข้อ 85 วงเล็บ 3 สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย จะต้องดำเนินการให้ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 จัดทำข้อบังคับประจำภูมิภาคทั้งหก (6) ภูมิภาคเอง ซึ่งเนื้อหาภายในข้อบังคับจะต้องระบุถึงกลไกในการจัดเลือกตั้งผู้แทนภูมิภาคเพื่อเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของสมาคม โดยข้อบังคับฉบับดังกล่าวนี้ จะต้องสอดคล้องกับธรรมนูญของฟีฟ่า, เอเอฟซี และข้อบังคับลักษณะการปกครองของสมาคม และจะต้องผ่านการรับรองโดยสภากรรมการของสมาคมภายในระยะเวลาสองปีนับตั้งแต่การประกาศใช้ข้อบังคับลักษณะการปกครองฉบับนี้ ก่อนการเลือกตั้งในการประชุมใหญ่ปี พ.ศ. 2558 หากไม่สามารถปฏิบัติตามข้อบังคับได้ ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ถือว่าสมาชิกภาพสิ้นสุดลงไปโดยปริยาย"
"จะเห็นว่าข้อ 3 ในบทเฉพาะกาลในข้อ 85 มีความจำเป็นมาก เพราะหากไม่สามารถทำเสร็จ สมาชิกภาพของดิวิชั่น 2 จะหมดไปแล้ว ทำให้ คุณวรวีร์ มะกูดี และ คุณวิมล กาญจนะ ดำเนินการตามกระบวนตามกฎหมายทุกอย่าง กลไกของข้อบังคับสอดคล้องกับฟีฟ่า, เอเอฟซี และข้อบังคับของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย กำหนดแบบนี้เช่นกันว่า ผู้แทนในการเลือกตั้งจากลีกภูมิภาค 30 คน ต้องมาจากกระบวนการตรงนี้ จะเห็นได้ว่ากระบวนการนี้มาด้วยความโปร่งใสแน่นอน"
นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ แถลงต่อว่า "สิ่งที่คณะกรรมการกลางฯ พยายามย่ำอยู่กับที่ว่า จะต้องเลือก 30 เสียงใหม่จากลีกภูมิภาค ไม่มีกฎหมายรองรับ ถือว่าขัดแย้งต่อกฎหมายโดยสิ้นเชิง เพราะเรากำลังบอกแล้วว่าหน้าที่ของสมาคมฟุตบอลฯ ต้องทำตรงจุดนี้ เมื่อทำเสร็จก็ไปเลือกผู้แทนจากสิ่งที่ทำ เมื่อเลือกได้ผู้แทนจาก 30 คน เข้าไปรับรองการประชุมข้อบังคับ วันที่ 17 ก.ย. ซึ่งทำไปแล้ว แต่ขาดอย่างหนึ่งคือ การเลือกนายกและสภากรรมการในวันที่ 17 ต.ค."
"เราจึงตั้งคำถามว่า หากไม่มีการแบน คุณวรวีร์ มะกูดี วันที่ 17 ต.ค. ทั้ง 30 เสียงของชุดนี้ จะไปใช้สิทธิ์กันหมดแล้ว เมื่อเลือกตั้งหน้าที่ของพวกเขาก็สิ้นสุดลง หากว่าสมัยหน้าจะมีการเลือกตั้งใหม่ ลีกภูมิภาคก็ต้องทำตรงนี้ใหม่ก่อนการเลือกตั้ง ฉะนั้นการที่ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ บอกว่า ข้อบังคับปี 56 จบสิ้น แล้วต้องใช้ฉบับใหม่ปี 58 จึงอยากจะบอกว่าข้อบังคับปี 58 ทำเสร็จ แล้วก็รับรองข้อบังคับในวันที่ 17 ก.ย. 58 เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าข้อบังคับปี 56 เพราะวาระที่ 4 ของการเลือกตั้ง จะมีการยืนยันของ 82 สโมสร จาก 6 ภาค จะทำการเลือกตัวแทนของพวกเขาทั้ง 5 คน เห็นได้ชัดว่าเอกสารฉบับนี้ส่งไปให้ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ กับกกท. ตั้งนานแล้ว แต่ไม่พยายามดู หรือตรวจสอบเลยว่ามีการทำถูกต้องอย่างไร กลับมาบอกว่า ไม่มีปัญหาถ้าเลือกใหม่คนของคุณก็ต้องกลับมาเหมือนเดิม"
"จึงมีความขัดแย้งว่าทั้ง 30 เสียง ก็ไม่ได้เลือก คุณวรวีร์ มะกูดี เพราะ 30 เสียง เป็นสิทธิที่จะเลือกใครหรือไม่ อย่างไร ตรงนี้เป็นเรื่องที่ผมจะเรียนว่า ทั้ง 6 ภูมิภาค มีข้อบังคับ 6 เล่ม จำนวน 6 ภูมิภาค ซึ่งเราปฏิบัติตามข้อบังคับในบทเฉพาะกาลเรียบร้อย ใน 6 เล่มนี้มีกระบวนการ วิธีการเลือกตั้ง วิธีการยกมือ เปิดเผยตามที่กกท. รับรองไปเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นการยืนยันจากตัวแทนภาคว่า เราดำเนินการเสร็จสิ้นด้วยความชอบธรรม"
บิ๊กโบ้ชี้แจงต่อ "เพราะเหตุอะไรทางกรรมการชุดนี้พยายามจะให้เลือกใหม่ 30 เสียง ทว่าก่อนเลือกใหม่ต้องตอบคำถามผมมาว่า ที่ต้องเลือกใหม่นั้น ของเก่ามีการทำผิดอะไรบ้าง เพราะหนังสือในวันที่ 12 พ.ย. ส่งมายังคณะกรรมการกลางฯ ที่ทำมาถึง พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ทางคณะกรรมการฉุกเฉินได้บอกว่า ฟีฟ่าเห็นว่าคะแนน 30 คะแนน ที่ได้มีการรับรองจากที่ประชุมใหญ่สอดคล้องกับธรรมนูญฟีฟ่า และยังชื่นชมสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยว่า สิ่งที่ทำในวันที่ 17 ก.ย. ในการแก้ไขข้อบังคับ โดยมีผลสมบูรณ์ในการเลือกตั้งข้อบังคับเขายังถามประเด็นว่า คณะกรรมการฉุกเฉินมีหน้าที่เพียงแต่ดูว่าข้อบังคับของลีกภูมิภาคมีอยู่และถูกต้องหรือไม่ ซึ่งไปดูว่าการเลือกผู้แทนจากลีกภูมิภาคอย่างไร ถ้าเห็นว่าทำถูกต้องก็เป็นเรื่องที่ฟีฟ่ายอมรับตั้งแต่แรก ถ้า พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ เห็นต่าง มีหน้าที่บอกฟีฟ่าว่าสิ่งที่ทำไม่ถูกต้องคืออะไร สำคัญที่สุดถ้ามีการเลือกตั้งผู้แทนใหม่ จะต้องจัดทำร่างข้อบังคับไปให้ข้อบังคับรับรองตรวจสอบก่อน กระบวนการการเลือกตั้งใหม่ถึงเกิดขึ้นได้ในอนาคต"
"แต่สิ่งที่ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ชี้แจงว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ได้หรือไม่ มีความขัดแย้งที่ฟีฟ่าทำหนังสือในวันที่ 12 พ.ย. มาให้เรา ก็มีการชี้แจงและไม่เห็นด้วยอย่างมาก ที่ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยใช้เหตุผลสั้นๆ ว่า ข้อบังคับปี 56 ยกเลิกไปแล้ว และใช้ในปี 58 แทน ซึ่งอันนั้นเป็นความรู้สึกของท่านเอง ถ้าท่านมีเหตุผลดีเอกสารที่ผมส่งไปให้กับกกท. และท่านต้องตอบให้ได้ว่า กระบวนการตั้งแต่เราทำข้อบังคับลีกภูมิภาค กระบวนการตั้งแต่เราหาผู้แทนของพวกเขา และพวกท่านไปตัดสิทธิ์เขาไม่ให้เลือกตั้ง มันเป็นเช่นไร หากตอบได้ในฐานะประธานฝ่ายกฎหมายสมาคมฟุตบอลฯ, ประธานเอไอเอส ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 และผู้แทน จะได้บอกกับเขาได้ว่า เราทำผิดอย่างไร"
"แต่ถ้าท่านยังตอบคำถามไม่ได้ ผมอยากจะฝากคำถามไปว่า อยากให้ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ได้ทบทวนหน้าที่ว่า 1. ท่านได้รับมอบหมายจากฟีฟ่าเป็นประธานคณะกรรมการกลางฯ ให้มาดูแลการเลือกตั้งเท่านั้น 2. ท่านไม่มีสิทธิ์แก้ไขข้อบังคับจากสมาชิกที่ต้องผ่านการรองรับจากที่ประชุมใหญ่ทุกกรณี"
"3. ท่านเคยตรวจสอบหรือไม่ ว่าข้อบังคับที่เราได้ทำกันทั้ง 6 ภูมิภาค เราทำกันถูกต้อง ท่านเคยตรวจสอบเอกสารที่ผมส่งไปหรือไม่ ว่ากระบวนการมีการเชิญประชุม มีวาระการประชุม มีวาระการเลือกตั้งภาคละ 5 คน 6 ภูมิภาค จำนวน 30 คน มีรายชื่อทั้ง 83 สโมสร เซ็นรับรองให้หมด มีวิดีโอและสื่อมวลชนยืนยันว่าเวลานี้ลีกภูมิภาคได้ผู้แทนครบถ้วน เพื่อให้ได้สิทธิ์มาเป็นตัวแทนของพวกเขาในที่ประชุมใหญ่ในการเลือกตั้ง ท่านเคยตรวจสอบหรือไม่ แต่ท่านตอบคำถามเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ที่ผ่านมา กับผู้สื่อข่าวว่า -ผมถามกกท. ว่าทำโปร่งใสไหม กกท. บอกไม่ทราบ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องลงไปทำหน้าที่เหมือนพวกผม- แต่กกท. ได้รับเอกสารของผมไปแล้ว ตรวจสอบว่า 83 สโมสรมอบอำนาจแล้วเซ็นให้พวกเขาเป็นผู้แทนแล้ว หากไม่ได้ทำจริงๆ ผมก็ถูกฟ้อง ประธานต้องถูกฟ้อง กกท. ต้องได้รับการโต้แย้งว่าพวกคุณทำจากไหน สืบสายต้นสายปลายเหตุ"
"วันนี้ไม่มีการฟ้องร้องจากลีกภูมิภาค และมีการยืนยันว่าทำถูกต้อง แต่ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ บอกว่า -มันไม่โปร่งใสและมีกระบวนการอะไร- ข้อสำคัญมีสิ่งที่เขาพูดมาว่า -ฟีฟ่ารับรองเฉพาะข้อความ ไม่ได้รับรองที่มา- ผมงงว่าที่ตอบเช่นนั้นจะให้เราคิดเช่นไร เพราะไม่มีที่ไหนที่เขารับรองข้อความ แต่ไม่รับรองที่มา แต่ฟีฟ่าก็บอกว่าในมุมของฟีฟ่า การรับรองวันที่ 17 ก.ย. ถูกต้อง ท่านต้องมาดูว่าไม่ถูกตรงไหน เราจะได้ทำความเห็นว่าทำการแก้ไข และแจ้งให้กับสังคมได้ทราบว่า สิ่งที่สมาคมฟุตบอลฯ และลีกภูมิภาคได้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกผู้แทนเป็นอย่างไร"
"ผมจึงมีคำถามว่าหากท่านมีการตรวจสอบ แล้วมีการสรุปมาเป็นเหตุให้มีการเลือกตั้งใหม่ อันนี้เรายอมรับได้ว่าท่านทำหน้าที่ที่เขาตั้งท่านมาเป็นกรรมการกลางฯ เพราะคำว่า "กลาง" อยู่ที่ 50-50 ไม่ได้ 60-40 รวมทั้งไม่ได้กลางเฉพาะคำพูด แต่ต้องกลางพฤติกรรมในการแสดงออก ว่าท่านเป็นกรรมการกลางฯ จริงหรือไม่อย่างไร"
จากกรณีที่ พินิจ สะสินิน ลาออกจากการเป็นเลขานุการคณะกรรมการกลางฯ พร้อมกับมีข่าวว่าจะลงสมัครชิงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เรื่องนี้ "บิ๊กโบ้" นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ประธานฝ่ายกฎหมายสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย บอกว่า
"กรณีที่คุณพินิจได้ลาออก ผมคิดว่าคุณพินิจมาอยู่ในคณะนี้แล้ว การลาออกไปทำให้ได้รู้ข้อมูลต่างๆ จากกรรมการกลางฯ หมดแล้ว ฉะนั้นผมคิดว่าคณะกรรมการขาดความชอบธรรม ที่จะมาดูแลการเลือกตั้งให้โปร่งใสเช่นเดียวกัน แต่เรื่องนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมเอง ไม่เกี่ยวข้องกับสมาคมฟุตบอลฯ แต่อย่างใด"
บิ๊กโบ้ยังบอกอีกว่า "จากการที่ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ทำหนังสือมายังสำนักเลขาธิการสมาคมฟุตบอลฯ ให้ผมหยุดออกมาตอบโต้นั้น เพราะจะทำให้มีคนเข้าใจผิด ว่าเขาจะไปแก้ไขข้อบังคับ ผมยืนยันว่าไม่ได้แก้ไขข้อบังคับ ซึ่งผมก็ตอบหนังสือกลับไปว่าขอบคุณที่ท่านไม่แก้ไขข้อบังคับ และท่านได้รู้หน้าที่ บทบาทของตัวเอง ผมจะได้เอาคำของท่านไปบอกต่อกันว่า พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ในฐานะประธานไม่ได้แก้ไขข้อบังคับ"
"แต่สิ่งต่างๆ ที่กำลังจะปรับ 30 เสียง จากลีกภูมิภาค นั่นคือการแก้ไขข้อบังคับ เพราะการแก้ไขข้อบังคับต้องมาจากเสียงในที่ประชุมใหญ่ 3 ใน 4 ฉะนั้นถ้าคุณต้องการแก้ข้อบังคับ คุณต้องนำข้อบังคับฉบับใหม่มา แล้วเปิดประชุมเพื่อให้ได้ 3 ใน 4 เสียง จึงจะเกิดข้อบังคับใหม่ได้"
"วันที่ 17 ก.ย. คือวันรับรองข้อบังคับโดยใช้ 3 ใน 4 ของเสียงทั้งหมด นั่นคือการแก้ไขข้อบังคับฉะนั้นวันนี้ถ้าคุณจะทำอะไรในลักษณะที่แนะข้อบังคับ เราจะไม่ว่า แต่คุณต้องหาเหตุเพื่อทำการเปิดประชุมให้ได้ เพื่อให้เสียง 3 ใน 4 ข้อบังคับสมบูรณ์ สมาชิกและทางสมาคมฟุตบอลฯ จะดำเนินการตามที่กำหนดในข้อบังคับลักษณะการปกครองทั้งสิ้น"
"ผมขอยืนยันว่า 30 สโมสร จะไม่มีการเลือกใหม่ เพราะถ้าเลือกใหม่ผมยืนยันว่าสิ่งที่เราปฏิบัติ ดำเนินการถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ถูกต้องผมจะพูดขึ้นมา เพื่อบอกข้อเสียของพวกเรา ทำให้วันนี้ผมขอยืนยันว่าจะโต้แย้ง พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ที่จะส่งไปฟีฟ่าเพื่อชี้แจงกลับมา อย่างไรต้องขอขอบคุณที่ท่านจะส่งไปให้ฟีฟ่า และกกท. รับรอง ทว่า พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ต้องตอบผมให้ได้ว่า 30 เสียง ที่ชอบด้วยกฎหมาย จะตัดสิทธิ์พวกเขาออกไป ต้องทำการเลือกใหม่ นี่คือคำถามที่ต้องตอบผมและสังคม เพราะ 83 สโมสรทั้งประเทศ มีศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์เท่ากัน ทำไมต้องไปรบกวนหรือรอนสิทธิ์ที่จะไปเลือกนายกและสภากรรมการ ที่จะไปเลือกปราศจากการครอบงำฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง"
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามบิ๊กโบ้ว่า จากการที่กกต. มีมติให้ปิดวันรับผู้สมัครเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 11 ม.ค. 59 จะทำให้ "บังยี" วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯ ลงสมัครทันหรือไม่ เพราะเจ้าตัวจะพ้นโทษแบนจากฟีฟ่าก่อน 1 วัน
ประธานฝ่ายกฎหมายแจงว่า "คุณวรวีร์ มะกูดี จะลงสมัครเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลฯ ทันอย่างแน่นอน เพราะเราได้เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด กับตัวสภากรรมการที่ต้องลงไปต่อสู้ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นไร ผมคงจะต้องปรึกษากับท่านนายกและสภากรรมการอีกครั้ง อีกทั้งท่านไม่ได้ขาดคุณสมบัติแต่อย่างใด"
"เพราะจริยธรรมที่ คุณวรวีร์ มะกูดี ถูกแบนวันนี้ ไม่เหมือนกับ มิเชล พลาตินี่ หรือ เซปป์ แบล็ตเตอร์ ที่ไปเกี่ยวกับกระบวนการเจ้าภาพฟุตบอลโลก วันนี้ฟีฟ่าติดในใจเรื่องที่ท่านโดนคำพิพากษาจากศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่มีโทษจำคุกแล้วรอลงอาญา ตรงนี้ฟีฟ่าเห็นว่าเป็นจริยธรรม แต่เราได้ต่อสู้ไปแล้วว่า เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์ และคนของกกท. รวมทั้งสมาคมฟุตบอลฯ ไม่ได้มีการกำหนดมาตรการที่คุณวรวีร์จะลงสมัครไม่ได้แต่อย่างใด แม้แต่ พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ก็ยังบอกว่าสามารถลงได้ ไม่ได้มีมาตรการคุ้มครองในเรื่องนี้"
"ส่วนการยื่นอุทธรณ์ต่อฟีฟ่านั้น เราเองได้มีการขยับไปแล้วเช่นกัน หากว่ายังมีนัยยะที่ไม่ให้ลงเพื่อไปต่อ เราคงจะไม่จบแค่ตรงนี้ เพราะเราจะไปขอความคุ้มครองที่ศาลกีฬาโลก เพื่อให้คุณวรวีร์กลับมาเป็นนายกสมาคมฟุตบอลฯ ในคณะของเราอีกครั้ง"
เกี่ยวกับเรื่องคณะกรรมการอุทธรณ์ในวันเลือกตั้ง ที่คณะกรรมการกลางฯ ได้ยืนยันมาแล้วว่าในครั้งนี้จะไม่มีเหมือนคราวที่ผ่านมา ตรงจุดนี้บิ๊กโบ้บอกว่า ฟีฟ่าให้อำนาจทั้ง 5 คนทำทุกอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ถ้ามีปัญหาในการอุทธรณ์เรื่องเสียง พวกเขาจะใช้เสียงข้างมากไปได้ตลอด ต้องยอมรับว่าเมื่อฟีฟ่าเห็นว่าเป็นกลาง เราคงจะปฏิเสธจุดนี้ไม่ได้ แต่อยากให้ท่านมองเห็นถึงพฤติกรรมที่แสดงออกต่อสมาชิกสโมสร สังคม ว่าเขาเป็นกลางหรือไม่
ด้าน "รองต้า" ธีระพงษ์ วัฒนวงษ์ภิญโญ ผู้ช่วยเลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย บอกว่า "การเลือกตั้งตัวแทน 6 ภูมิภาค เราได้ประชุมกับฟีฟ่ามาก่อน จากนั้นเราได้ทำงานพร้อมกันตามคำแนะนำของฟีฟ่า ที่สำคัญหนังสือที่ฟีฟ่าได้ตอบกลับมา ฟีฟ่าบอกว่า ถ้าทำดีอยู่แล้ว ถูกต้องตามข้อบังคับอยู่แล้ว ฟีฟ่าเน้นให้รักษา 30 เสียง เพื่อไว้ไปลงคะแนนเลือกตั้ง แต่ถ้าหากทางคณะกรรมการพิจารณาแล้วว่าตรงกันข้าม ก็ให้คณะกรรมการไปดำเนินการให้ถูกต้องและเหมาะสม ต้องบอกก่อนว่าไม่เหมาะสมเช่นไรก่อนการดำเนินการ โดยดูว่ามีข้อบังคับในลีกข้อบังคับหรือยัง"
"อีกทั้งประธานจากลีกภูมิภาคที่มาในวันนี้ได้นำข้อบังคับมาด้วย ให้ใช้ข้อบังคับนี้ แต่ถ้าไม่มีต้องยกข้อบังคับขึ้นมาใหม่แล้วค่อยมาเรียก ทว่าเมื่อเขาทำถูกต้องให้สิทธิ์เขา ซึ่งผมมีคำถามกลับไปว่า ถ้าสโมสรจากภูมิภาคทำถูกแล้วไปตัดสิทธิ์เขา เขาทำผิดอะไร เนื่องจากเขามีศักดิ์ศรีและทำในสิ่งที่ถูกต้อง ในส่วนของสมาคมจะไม่นิ่งนอนใจ เพราะถ้าคณะกรรมการถามฟีฟ่าไป เราเองก็มีสิทธิ์จะเข้าไปชี้แจงเหมือนกัน"
รองต้ายังเผยต่ออีกว่า ประเด็นของฟีฟ่าค่อนข้างจะชัดเจน หลังจากที่พวกเขาทำการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาแล้ว ฟีฟ่าได้มอบหมายให้กับคณะกรรมการชุดนี้ 4 ข้อหลัก ซึ่งในข้อที่เกี่ยวกับ 30 เสียง ที่เขาต้องการให้มาทบทวน แต่ระเบียบการเลือกตั้งเขาบอกว่าให้แก้ไขได้เลย แต่ในเมื่อให้ทบทวนเหมือนกับทบทวนวรรณกรรม เราไม่สามารถจะแก้วรรณกรรมได้ เพราะเราไปเอาเขามาอ้างอิง
นอกจากนี้ ฟีฟ่ายังบอกด้วยว่า ถ้าเขาทำมาดีแล้วตัดสินได้เลย แต่ถ้ามีการบกพร่องต้องกลับมาดูกัน และที่คณะกรรมการพูดว่าไม่มีระเบียบ จริงๆ มันมี หากท่านพูดว่าไม่มีระเบียบ ท่านจะต้องร่างขึ้นมาใหม่ แล้วท่านใช้เวลาพอหรือไม่กับ 3-4 สัปดาห์ที่เหลืออยู่ ก่อนถึงสิ้นเดือนธ.ค. เนื่องจากผมสังเกตมานานแล้วว่า คณะกรรมการชุดนี้มีเจตนาที่จะแก้ไขมากกว่าทบทวน ทุกอย่างจึงออกมารูปแบบนี้ และเราส่งอะไรไปให้ท่านยังไม่ดู คล้ายว่าไม่สนใจกับสิ่งที่ส่งไป ซึ่งตนขอเรียนว่าหากท่านส่งมติของท่านไป ที่ท่านอ้างว่าเอกฉันท์ ทั้งๆ ที่มีสมาชิกท่านหนึ่งอย่าง คุณธนา ไชยประสิทธิ์ ไม่ได้เข้าประชุม เพราะติดภารกิจไปต่างประเทศ ถ้าท่านส่งไปให้ฟีฟ่าพิจารณา เราก็ต้องส่งไปให้ฟีฟ่าทราบ เพื่อรักษาสิทธิ์ของเรา
ฝั่ง วิมล กาญจนะ ประธานเอไอเอส ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 บอกว่า "คณะกรรมการทั้ง 5 ท่าน คงจะทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นใครบ้าง ซึ่งตรงนี้เราต้องคิดว่าเลขานุการอยู่ไม่จบการเลือกตั้งแล้วก็ลาออก แล้วก็ไปลงเลือกตั้ง แต่ก็เป็นสิทธิ์ของเขาในการทำ แต่ผมเรียนด้วยความเคารพว่า ผมในฐานะที่คลุกคลีกับสโมสรในลีกภูมิภาคทั้งประเทศตั้งแต่ฤดูกาลแรกจนวันนี้ ผมจะต้องยืนสู้เพื่อศักดิ์ศรีของเขา เนื่องจากผมเป็นห่วงเขา ถ้างานนี้ต้องเลือกตั้งใหม่ ผมจะอยู่ถึงวันที่ 14 ก.พ. และผมจะลาออกจากวงการฟุตบอล เพื่อสู้เพื่อพวกเขา เพราะวันนี้เขาถูกทำลายศักดิ์ศรี"