หลังจากที่เว็บไซต์ฟุตบอลของเอเชียอย่าง footballchannel.asia ได้มีการจัดอันดับ 5 สุดยอดโค้ชที่ประสบความสำเร็จที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหนึ่งในนั้นมีชื่อของ "ซิโก้" รวมอยู่ด้วย โดยให้เหตุผลว่าหลังอดีตหัวหอกจอมตีลังกาเข้ามารับงานคุมทีมชาติไทยเต็มตัวในปี 2013 ก็สามารถสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่น ด้วยการพา "ช้างศึก" รุ่น ยู 23 ปี กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ที่เมียนมาร์ ต่อด้วยอันดับที่ 4 ในศึกเอเชียนเกมส์ 2014 ที่เกาหลีใต้ และการคว้าแชมป์ ซูซูกิ คัพ โดยยึดเอานักเตะดาวรุ่งเป็นแกนหลัก
   

        สำหรับการจัดอันดับครั้งนี้ "ซิโก้" รั้งอันดับ 3 ต่อจาก เอ็นริเก้ คาลิสโต้ (อดีตโค้ชทีมชาติเวียดนาม, เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด), ดะโต๊ะ กฤษณมี ราชโคปาล (อดีตโค้ชทีมชาติมาเลเซีย) และอยู่เหนือกว่า 2 กุนซืออย่าง ปีเตอร์ วิธ (อดีตโค้ชทีมชาติไทย, อดีตโค้ชทีมชาติอินโดนีเซีย) กับ ราดอจโก้ อัฟราโมวิช (อดีตโค้ชทีมชาติสิงคโปร์, โค้ชทีมชาติเมียนมาร์)
   

        เฮดโค้ชทีมชาติไทยเปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า "ต้องขอขอบคุณเว็บไซต์ฟุตบอลของเอเชีย ที่ได้เลือกผมประสบความสำเร็จติด 1 ใน 5 ของกุนซือย่านอาเซียน โดยส่วนตัวแล้วผมทำทีมไม่ได้มีเป้าหมายที่อยากจะยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่ผมต้องการที่จะพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้ก้าวไปสู่แนวหน้าของเอเชียให้ได้อีกครั้ง"

  เดินหน้าแผนการเตรียมทีมยู-23
 
        พร้อมกันนี้ "ซิโก้" ยังเผยความคืบหน้าในส่วนการเตรียมความพร้อมของทีมชาติไทย ชุด ยู 23 ที่เตรียมแข่งขันฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปี ชิงแชมป์เอเชีย รอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่กาตาร์ ในเดือนม.ค.ปีหน้า คัด 3 ทีมไปโอลิมปิกเกมส์ 2016 ที่ประเทศบราซิล โดยที่ทัพ "ช้างศึก" อยู่ในกลุ่ม บี ร่วมกับ ซาอุดีอาระเบีย, ญี่ปุ่น และเกาหลีเหนือด้วย
 

        "วันที่ 20 พ.ย. เราได้เชิญทีมสตาฟฟ์โค้ชเข้าร่วมประชุมเพื่อวางกำหนดการต่างๆ ไม่ว่าจะรายชื่อนักเตะ 50 คน ที่จะส่งขึ้นทะเบียนกับสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี), วัน-สถานที่ ที่จะเรียกรายงานตัวและซ้อม, กำหนดการเดินทาง รวมทั้งเรื่องเกมอุ่นเครื่อง ว่าจะมีที่ประเทศไทยกี่เกม และที่กาตาร์กี่เกม ซึ่งในช่วงเก็บตัวที่ไทยจะต้องมีเกมอุ่นเครื่องแน่นอน เพื่อดูระบบการเล่นของแต่ละคน ทั้งนี้ได้เชิญสตาฟฟ์โค้ชร่วมประชุมที่ บริษัท สปอร์ต ฮีโร่ จำกัด"