ที่สนามลาว เนชั่นแนล สเตเดี้ยม เวลา 16.00 น. ของวันที่ 30 ส.ค. ที่ผ่านมา ดำรงค์ศักดิ์ ประจง ผู้สื่อข่าวฟุตบอลสยาม และ นิธิ อรรถีโสตร์ ผู้สื่อข่าวสยามสปอร์ต ฟุตบอล รายงานศึกการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน "เอเอฟเอฟ ยู-19 แชมเปี้ยนส์ชิพ 2015" ณ กรุงเวียงจันทร์ สปป.ลาว โดยเป็นการลงสนามนัดสุดท้ายของสาย เอ ระหว่าง ทีมชาติไทย แข่ง 3 นัด ชนะรวดทั้ง 3 นัด มี 9 คะแนนเต็ม ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศแน่นอนแล้ว พบกับ ทีมชาติกัมพูชา แข่ง 3 นัดเช่นกัน มีอยู่ 7 คะแนน หากเสมอได้ในนัดนี้ จะผ่านเข้าสู่รอบรองฯ ทันที แต่ทว่าพ่ายแพ้ ต้องไปรอลุ้นผลการแข่งในคู่ต่อไป
ไทยจัด 4-3-3 วาง "ฤทธิเดช" หน้าเป้า
สำหรับ 11 ผู้เล่นตัวจริง ภายใต้การกุมบังเหียนของ "โค้ชจุ่น" อนุรักษ์ ศรีเกิด กุนซือของทีม จัดทัพมาในระบบ 4-3-3 เช่นเดิม โดยใช้ ชาคร พิลาคลัง ลงเฝ้าเสา แผงหลัง 4 คน แบ็กขวาใช้ ศรายุทธ สมพิมพ์ แบ็กซ้าย อดิศักดิ์ นารัตน์โท ส่วนเซนเตอร์ฮาล์ฟยังเป็น "เจ้าเชน" มีโชค มหาศรานุกูล จับคู่กับ ศฤงคาร พรมสุภะ เช่นเคย
ขยับมาที่แดนกลางให้ กานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์ ลงมาเป็นตัวตัดเกม มิดฟิลด์ใช้ "เจ้ายิมส์" วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ สวมปลอกแขนกัปตันทีม คอยเดินเกมร่วมกับ อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ สำหรับ 3 ประสานในแดนหน้าใช้ วิศรุต อิ่มอุระ, สุขสันต์ มุ่งเป้า และ "เจ้าดิว" ฤทธิเดช เพ็ญสวัสดิ์ เป็นหน้าเป้าลงล่าตาข่าย
"ฤทธิเดช"ตะบันให้ไทยนำ1-0ครึ่งแรก
เขี่ยบอลเริ่มเกมเป็นขุนพล "ช้างศึกจูเนียร์" ที่ครองเกมและสามารถบุกเข้ากดดันได้เป็นส่วนใหญ่ โดยอาศัยการต่อบอลสั้นออกทางด้านข้างทั้งสองฝั่ง สลับการโยนยาวในบางจังหวะ ด้านทางกัมพูชา มาเน้นตั้งรับและอาศัยจังหวะสวนกลับเร็วเข้าสู้ ซึ่งช่วงต้นเกมทั้งสองทีมยังไม่มีโอกาสเข้าทำประตูมากนัก
นาทีที่ 5 เป็นไทยที่โอกาสทักทายก่อน จากจังหวะที่ลุยเกมขึ้นมาได้สวย สุขสันต์ มุ่งเป้า ได้บอลจากหน้ากรอบเขตโทษกัมพูชา ก่อนป้ายไปทางซ้ายให้ อดิศักดิ์ นารัตน์โท วิ่งสอดขึ้นมาจากด้านหลัง และปาดไปหน้าประตูให้ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ เข้าชาร์จ 5 หลา แต่ดันไม่โดนบอล ไม่งั้นเป็นประตูขึ้นนำแน่นอน
กระทั่งนาทีที่ 14 ขุนพล "ช้างศึกจูเนียร์" ก็มาได้ประตูขึ้นนำสำเร็จ เมื่อ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ เซตบอลขึ้นมาจากลางสนามให้ วิศรุต อิ่มอุระ ทางขวา จากนั้นเลี้ยงลุยขึ้นหน้า ก่อนป้ายต่อไปหน้ากรอบเขตโทษให้ ฤทธิเดช เพ็ญสวัสดิ์ กระชากหนีกองหลังกัมพูชาหนึ่งจังหวะ แล้วตะบันด้วยซ้ายทันที บอลแฉลบขาผู้เล่นกัมพูชา ลอยเข้าประตูไปให้ไทยออกนำ 1-0
นาทีที่ 20 ไทยมามีลุ้นประตูหนีห่าง จากจังหวะที่ อดิศักดิ์ นารัตน์โท เติมเกมสูงจากแดนหลังขึ้นมาทางกราบซ้าย ก่อนใช้ความสามารถเฉพาะตัวแตะลอดขาแผงหลังกัมพูชา แล้วเลี้ยงจี้เข้าหาเขตโทษ จากนั้นปาดด้วยซ้ายเข้ากลางประตูให้ สุขสันต์ มุ่งเป้า สปีดเข้าชาร์จจ่อๆ แต่เป็นกองหลังกัมพูชาที่วิ่งเข้ามากดดันได้เร็ว และจิ้มบอลออกหลังไป
นาทีที่ 27 เป็นทางกัมพูชาที่โอกาสลุ้นประตูบ้าง เมื่อ เซ็ท โรซิบ ได้บอลทางกราบซ้าย ก่อนกรอสข้ามหัวแผงหลังไทยเข้าเขตโทษให้ ทัช โรม่า พักบอลเอาไว้หนึ่งจังหวะ และกำลังจะง้างเท้ายิง แต่เป็น ศฤงคาร พรมสุภะ สปีดวิ่งเข้ามาสกัดแย่งบอลไปได้อย่างหวุดหวิด
จากนั้นเป็นกัมพูชาที่เริ่มตั้งเกมของตัวเองได้ นาทีที่ 32 มาได้ลุ้นประตูอีกครั้ง จากลูกฟรีคิกหน้าหัวกะโหลกระยะประมาณ 20 หลา แชนง โพลโรท ห้องเครื่องของกัมพูชา วิ่งเข้ามาตะบันเต็มข้อด้วยขวา ชาคร พิลาคลัง รับบอลกระฉอกเด้งคราบเส้นประตูในจังหวะแรก แต่ยังดีที่ตะครุบเอาไว้ทัน
เข้าสู่ช่วงท้ายครึ่งแรก นาทีที่ 40 กานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์ วางบอลยาวจากแดนตัวเองเข้าเขตโทษให้ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ จากนั้นป้ายต่อไปทางขวาให้ ศรายุทธ สมพิมพ์ วิ่งมาตะบันด้วยขวา นายด่านกัมพูชารับบอลกระฉอกออกมา แต่ยังขลุกขลิกอยู่หน้าเขตโทษ และเป็น อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ ที่ได้ยิงในจังหวะสุดท้าย แต่ก็ยังไม่ผ่านมือของนายด่านกัมพูชา เวลาที่เหลือ ทั้งสองทีมทำอะไรเพิ่มกันไม่ได้ จบ 45 นาทีแรก ไทย ขึ้นนำ กัมพูชา 1-0
กลับมาสู้กันต่อครึ่งเวลาหลังรูปเกมของทั้งสองทีมเริ่มสีสูกันมากขึ้น นาทีที่ 47 กัมพูชาได้โอกาสลุ้นประตูตีเสมอ เมื่อ ซอย เฮียง วางบอลยาวจากลางสนามเข้าเขตโทษให้ แชนง โพลโรท ใช้สปีดหนีกองหลังไทย แต่ยังเป็น ศฤงคาร พรหมสุภะ ที่วิ่งเข้ามาบีบสกัดแล้วตัดบอลเอาไว้ได้ทัน
นาทีที่ 55 กลับมาเป็นไทยที่ได้ลุ้นประตู เมื่อ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ได้บอลบริเวณกลางสนาม ก่อนส่งต่อให้ อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ พักบอลเอาไว้หนึ่งจังหวะ จากนั้นป้ายคืนไปหน้าเขตโทษให้ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ กระชากหนีกองหลังกัมพูชาแล้วตะบันด้วยขวาทันที บอลพุ่งถากเสาสองหลังไปอย่างหวุดหวิด
อีกหนึ่งนาทีต่อมา ไทยมาได้ลุ้นประตูอีกครั้งจากจังหวะที่ อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ ได้บอลบริเวณแดนกัมพูชา จากนั้นใช้ความเร็วลากบอลทะลุทะลวงผ่านแผงหลังกัมพูชา 3-4 คน หลุดเข้าเขตโทษ ก่อนบรรจงแปด้วยไปที่เสาไกล แต่บอลหลุดเสาออกไปอย่างเหลือเชื่อ
เข้าสู่ช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของเกม ไทยเริ่มขยับเปลี่ยนตัวผู้เล่น โดยส่ง "เจ้าโก้" สรรเสริญ ลิ้มวัฒนะ ห้องเครื่องคนสำคัญ และ จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์ ลงมาแทน กานต์นรินทร์ ถาวรศักดิ์ กับ วิศรุต อิ่มอุระ หลังจากรูปเกมในครึ่งหลังไม่กระเตื้องขึ้น
นาทีที่ 68 สรรเสริญ ลิ้มวัฒนะ วางบอลยาวจากกราบขวาข้ามฟากไปให้ จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์ ทางฝั่งซ้าย จากนั้นใช้ความสามารถเฉพาะตัวโยกหลบกองหลังกัมพูชาหนึ่งจังหวะ แล้วซัดด้วยขวาเท้าถนัดทันที แต่บอลยังเหินข้ามคานออกหลังไปไกล
นาทีที่ 72 ขุนพล "ช้างศึกจูเนียร์" มาได้ประตูที่สอง จากจังหวะที่ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ใช้ความสามารถเฉพาะตัวล็อกหลบผู้เล่นกัมพูชาสองคนบริเวณหน้าเขตโทษ แล้วแทงต่อมาทางขวาให้ สุขสันต์ มุ่งเป้า จากนั้นเปลี่ยนบอลไปที่ว่างทางซ้ายให้ จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์ กระชากกองหลังกัมพูชา แล้วซัดด้วยซ้าย บอลพุ่งลอดแขนนายด่านกัมพูชาเข้าไปประตูไปให้ไทยขยับหนีไปเป็น 2-0
นาทีที่ 81 ไทยมาได้ประตูที่สาม จากจังหวะที่ สรรเสริญ ลิ้มวัฒนะ ได้บอลหน้ากรอบเขตโทษ จากนั้นแทงทะลุช่องไปให้ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ หลุดเข้าไปดวลกับนายด่านกัมพูชา ก่อนที่แปบอลเสียบเสาสองเขาประตูไปอย่างง่ายดายให้ไทยทิ้งห่างไปเป็น 3-0
นาทีที่ 83 ไทยมาได้ประตูที่สี่ เมื่อ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ทำชิ่งหนึ่งสองกับ ศุภชัย ใจเด็ด ก่อนเจ้าตัวจะหลุดเข้าไปในกรอบโทษ แล้วบรรจงแปด้วยขวา บอลพุ่งผ่านนายด่านกัมพูชาเข้าประตูไปให้ไทยทิ้งห่างเป็น 4-0
เข้าสู่ช่วงท้ายเกม นาทีที่ 87 ขุนพล"ช้างศึกจูเนียร์"มาได้ประตูที่ห้าจากการยิงของ ศุภชัย ใจเด็ด และ นาทีที่ 90 ศุภชัย ใจเด็ด ก็มาซัดประตูปิดกล่องและเป็นประตูที่สองของเจ้าตัวในเกมนี้ ให้ไทย ถล่มเอาชนะ กัมพูชา 6-0 ลงสนามแข่ง 4 นัด ชนะรวด 4 นัด เข้ารอบรองฯ เป็นอันดับ 1 ของสาย เอ
"โค้ชจุ่น"ไม่หวั่นปะทะทีมใดรอบรองฯ
หลังเกมทาง"โค้ชจุ่น"อนุรักษ์ ศรีเกิด กุนซือทีมชาติไทย ยู-19 เผยว่า "สำหรับรูปเกมในวันนี้น้องๆ สามารถเล่นได้ตามแท็กติกที่วางไว้ แม้ครึ่งแรกจะดูอึดอัดไปบ้าง แต่พอครึ่งหลังเราเริ่มเปลี่ยนตัวหลักลงสนาม เกมในแดนกลางเราก็ดีขึ้นมาก ส่วนในรอบรองชนะเลิศไม่ว่าเราจะเจอกับทีมใดก็ห้ามประมาท และต้องพยายามทำงานกันอย่างเพิ่มมากขึ้น และส่วนตัวผมก็เชื่อว่าน้องๆ ทุกคนก็พร้อมที่จะต่อกรกับทุกทีม"
พร้อมยก"วรชิต"แมน ออฟ เดอะ แมตช์
ขณะเดียวกันทาง"โค้ชจุ่น" ยังเผยต่อว่า "เกมนี้ต้องบอกว่าน้องๆ ทุกคนเล่นได้ดีไม่ต่างกันมากนัก แต่ทว่าจะให้เลือกแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ก็คงเป็นเจ้ายิมส์ (วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ) เนื่องจาก 60 นาทีแรก เป็นคนที่คอยขับเคลื่อนเกมในแดนกลางให้กับทีม สามารถดึงจังหวะได้ดี ที่สำคัญรู้ว่าช่วงไหนต้องทำเกมช้าหรือว่าช่วงไหนต้องเล่นให้เร็ว แต่รวมๆ แล้วก็ต้องชื่นชมน้องๆ ทุกคนที่ทำงานกันอย่างหนักในเกมนี้ รวมถึงที่ผ่านมาด้วย"